วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

แบบทดสอบ
1. สารประกอบในข้อใดเป็นโคพอลิเมอร์

ก. โปรตีน
ข. เซลลูโลส
ค. พอลิไวนิลคลอไรด์
ง. เทฟลอน

2. โฮโมพอลิเมอร์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า

ก. พอลิเมอร์คู่
ข. พอลิเมอร์เดี่ยว
ค. พอลิเมอร์รวม
ง. พอลิเมอร์สาม
3. สารใดเป็นพลาสติกเทอร์มอเซต

ก. โฟม
ข. พอลิไวนิลคลอไรด์
ค. เมลามีน
ง. พอลิโพรพิลิน
4. ปฏิกิริยาพอเมอร์ไรเซชันมีทั้งหมดกี่แบบ
ก. 1 แบบ
ข. 2 แบบ
ค. 3 แบบ
ง. 4 แบบ
5. โครงสร้างพอลิเมอร์แบบใดที่เมื่อร้อนจะอ่อนตัวเมื่อเย็นจะเเข็งตัว

ก. โครงสร้างแบบเส้น
ข. โครงสร้างแบบกิ่ง
ค. โครงสร้งแบบร่างแห
ง. ถูกทุกข้อ
6. ข้อใดคือการเรียงตัวของโพลิเมอร์แบบบล็อก

ก. - A - A - A - A - A -A -A -
ข. - A - B - A - B - A -B -A -
ค. - A - B - A - B - A -B -
ง. - A - A - A - A - B -B - B - B -
7. ข้อใดไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์

ก. ยาง
ข. แก้ว
ค. พลาสติก
ง. เส้นใย
8. ข้อใดมิใช่พอลิเมอร์ประเภทเส้นใย

ก. ใยสัปรด
ข. ใยแมงมุม
ค. เรยอน
ง. ลินิน
9. ยาง พบมากบริเวณใด

ก. ที่ฝนตกชุก
ข. ใกล้เส้นศูนย์สูตร
ค. อากาศร้อนชื้น
ง. ถูกทุกข้อ

10. มวลโมเลกุลของพอลิเมอร์อยู่ในช่วงใด

ก. 1,000 - 10,000
ข. 10,000 - 100,000
ค. 100,000 - 1,000,000
ง. 10,000 - 1,000,000
11.  ข้อใดไม่ใช่สมบัติของเส้นใยสังเคราะห์

                . ทนต่อเชื้อราและจุลินทรีย์
                . ระบายความร้อนได้ดีเมื่อนำมาทำเสื้อผ้า
                . ไม่ยับง่าย ไม่ดูดน้ำ
                . ทนต่อสารเคมี
12. ข้อใดเป็นเส้นใยสังเคราะห์

                . ใยหิน
                . เจลาติน
                . ลินิน
                . พอลิเอไมด์
13. ข้อใดที่มีข้อมูลสอดคล้องตามลำดับหัวข้อต่อไปนี้

  เส้นใยธรรมชาติ เส้นใยสังเคราะห์

                . ขนแกะ พอลิเอไมด์

                . ปอ พอลิเอสเทอร์

                . ใยสับปะรด ไนลอน

                . เส้นใยไหม เรยอน
14. ข้อความต่อไปนี้ข้อใดผิด

ก.แป้งเป็นพอลิเมอร์ธรรมชาติประเภทโฮโมพอลิเมอร์

ข.โzปรตีนเป็นพอลิเมอร์ธรรมชาติประเภทโคพอลิเมอร์

ค.พอลิไวนิลแอลกอฮอร์เป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ที่ละลายน้ำ

ง.พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ(LDPE) มีโครงาร้างแบบร่างแหจึงยืดหยุ่น
15. ข้อความต่อไปนี้ข้อใดผิด

ก.พอลิเอทิลีนเป็นเทอร์มอเซตที่โมเลกุลมีการเชื่อมโยงเป็นร่างแห ไม่สามารถนำมาหลอมใหม่ได้

ข.ภาชนะเมลามีนสามารถนำมารีไซเคิล หรือหลอมใช้ใหม่ได้ เพื่อลดมลภาวะ

ค.เทฟลอนที่ใช้เคลือบภาชนะหุงต้มเป็นเทอร์มอเซต เนื่องจากทนความร้อนได้ดีมากและไม่หลอมเหลว

ง.ถูกทุกข้อที่กล่าวมา

16. ข้อใดเป็นการเลือกปฏิบัติได้เหมาะสมที่สุด

ก.เก็บขวดพลาสติกไม่ใช้แล้วใส่ไว้ในน้ำมันเบนซิน

ข.ใช้ถ้วยชามที่ผลิตจากพอลิเอทิลีนอุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟ

ค.ใช้ภาขนะที่เคลือบด้วยพอลิเตตระฟลูออโรเอทิลีนในการทอดปลา

ง.เก็บถ้วยชามประเภทเมลานีนที่ชำรุดเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่
17. จำนวนคาร์บอนของวัตถุดิบที่ใช้ผลิต PVC และเทฟลอน มีกี่อะตอมต่อโมเล
 ก.2 อะตอมทั้งคู่
ข.2 และ 3 อะตอมตามลำดับ
ค.3 อะตอมทั้งคู่
ง.3 และ 2 อะตอมตามลำดับ
ตอนที่  2

แบบทดสอบเรื่องยาง

  ..........1.  มอนอเมอร์ของยางธรรมชาติ
  ..........2.  สารที่ใส่ลงไปเพื่อทําให้ยางมีความคงตัวที่อุณหภูมิต่างๆ  ทนความร้อน  และตัวทําละลาย
  ..........3.  ยางสังเคราะห์ที่มีโครงสร้างเหมือนธรรมชาติ  จุดเด่นคือ มีสิ่งเจือปนน้อย คุณภาพสม่ำเสมอ
  .........4.  ยางที่เกิดจากมอนอเมอร์ของสไตรีนบิวตาไดอีนมารวมกัน
  .........5.  เกิดจากปฏิกิริยาการรวมตัวระหว่างมอนอเมอร์ 2 ชนิด  หรือ การนําเส้นใยธรรมชาติมา แปรรูปเป็นพอลิเมอร์
  ..........6.  สารที่ใช้ในการทําเส้นใยสังเคราะห์
  ..........7.  สารที่เกิดขึ้นในการทําเส้นใยสังเคราะห์
  ..........8.  เส้นใยสังเคราะห์ที่เกิดจากหมู่ NH2 และ CO2H
  ..........9.  เส้นใยสังเคราะห์ที่เกิดจากหมู่ CO2H และ OH
  ..........10. พอลิเมอรที่เกิดขึ้นเมือซิลิคอนไดออกไซด์ทําปฏิกิริยาเคมีกับอัลคินคลอไรด์

ตัวเลือกตอบ

ก.  ไนลอน 66
ข.  ยาง SBR
ค.  เส้นใยสังเคราะห์
ง.  ยาง IR
จ.  ไอโซปรีน
ฉ.  กํามะถัน
ช.  พอลิเมอร์  เอสเทอร์
ซ.  ซิลิโคน
ฌ.  แอมโมเนียและคอปเปอร (II) คาร์บอเนต
ญ.  คิวพรัมโมเนียมเรยอน

พอริเมอร์

พอริเมอร์
พอลิเมอร์ (Polymer) คือ สารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ และมีมวลโมเลกุลมากประกอบด้วย หน่วยเล็ก ของสารที่อาจจะเหมือนกันหรือต่างกันมาเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเคมี เรียกว่าพันธะโคเวเลนต์ (Covalent bond) หน่วยเล็กๆของพอลิเมอร์คือโมเลกุลเล็กๆ เรียกว่า มอนอเมอร์ (Monomer)มอนอเมอร์ (Monomer) คือ หน่วยเล็ก ของสารในพอลิเมอร์
ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์ เรียกว่า พอลิเมอไรเซชั่น (Polymerization) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการรวมตัวของมอนอเมอร์แต่ละชนิด ภายใต้สภาวะต่างๆ เช่น ตัวเร่งปฏิกิริยา อุณหภูมิ ความดัน เป็นต้น ทำให้เกิดพอลิเมอร์ชนิดต่างๆขึ้นมากมาย ทั้งที่เป็นพอลิเมอร์ในธรรมชาติ หรือพอลิเมอร์สังเคราะห์
พลาติกยางธรรมชาติ


พอลิเมอร์ แบ่งตามเกณฑ์ต่าง ดังนี้
  แบ่งตามการเกิด . พอลิเมอร์ธรรมชาติ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น โปรตีน แป้ง เซลลูโลส ยางธรรมชาติ
. พอลิเมอร์สังเคราะห์ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากการสังเคราะห์โดยปฏิกิริยาเคมี โดยใช้สารเริ่มต้นหรือมอนอเมอร์ ส่วนใหญ่เป็นโมเลกุลของไฮโดรคาร์ไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ ไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว คือสารประกอบที่มีพันธะคู่ระหว่างคาร์บอนอะตอมในโมเลกุลของไฮโดรคาร์บอน เช่น เอทิลีน โพรพิลีน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชั่น จะได้พอลิเมอร์ ที่มีมวลโมเลกุลมาก และมีโครงสร้างแข็งแรง เช่น พอลีเอทิลีน พอลีโพรพิลีน เป็นต้น ซึ่งพอลิเมอร์เหล่านี้เรียกว่า เม็ดพลาสติก ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เรียกว่า ปิโตรเคมี เพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิตวัสดุต่าง ๆ เช่น พลาสติก ไนลอน ดาครอนและลูไซต์  วัสดุต่างๆที่เป็นพลาสติก ในปัจจุบันจึงได้จากกระบวนการพอลิเมอไรเซชั่นเป็นจำนวนมาก เช่น พลาสติกต่างๆ ภาชนะใส่อาหาร ท่อสายยาง ฟิล์มถ่ายรูป ของเล่นเด็ก และอีกมากมาย  แบ่งตามชนิดของมอนอเมอร์ที่เป็นองค์ประกอบ
. โฮมอลิเมอร์ เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิดเดียวกัน เช่น แป้ง พอลิเอทิลีน PVC . โคพอลิเมอร์ เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ต่างชนิดกัน เช่น โปรตีน พอลิเอสเทอร์ โครงสร้างของพอลิเมอร์ . พอลิเมอร์แบบเส้น
เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์สร้างพันธะต่อกันเป็นสายยาว โซ่พอลิเมอร์เรียงชิดกันมากว่าโครงสร้างแบบอื่น ๆ จึงมีความหนาแน่น และจุดหลอมเหลวสูง มีลักษณะแข็ง ขุ่นเหนียวกว่าโครงสร้างอื่นๆ ตัวอย่าง
PVC พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีน
. พอลิเมอร์แบบกิ่ง เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ยึดกันแตกกิ่งก้านสาขา มีทั้งโซ่สั้นและโซ่ยาว กิ่งที่แตกจาก พอลิเมอร์ของโซ่หลัก ทำให้ไม่สามารถจัดเรียงโซ่พอลิเมอร์ให้ชิดกันได้มาก จึงมีความหนาแน่นและจุดหลอมเหลวต่ำยืดหยุ่นได้ ความเหนียวต่ำ โครงสร้างเปลี่ยนรูปได้ง่ายเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ตัวอย่าง พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ . พอลิเมอร์แบบร่างแห
เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ต่อเชื่อมกันเป็นร่างแห พอลิเมอร์ชนิดนี้มีความแข็งแกร่ง และเปราะหักง่าย ตัวอย่างเบกาไลต์ เมลามีนใช้ทำถ้วยชาม
พอลิเมอร์แบบเส้น
พอลิเมอร์แบบกิ่ง
พอลิเมอร์แบบร่างแห




พลาสติก (Plastics)
พลาสติก (Plastic) มาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า "plastikos" หมายความว่าหล่อ หรือหลอมเป็นรูปร่างได้ง่าย พลาสติกเป็นโพลิเมอร์ประเภทหนึ่งที่ส่วนใหญ่ได้จากการสังเคราะห์ขึ้น (Synthetic polymer) แต่ก็มีพลาสติกที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติเช่นกัน เช่น ชะแล็ก พลาสติกเป็นสารอินทรีย์ เป็นไฮโดรคาร์บอน มีไฮโดรเจนและคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก พลาสติกเป็นโพลิเมอร์ที่สามารถนำมาหล่อเป็นรูปร่างต่างๆตามแบบ โดยใช้ความร้อนและแรงอัดเพียงเล็กน้อย มีจุดหลอมเหลวระหว่าง 80-350 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับชนิดของพลาสติกด้วย
ปัจจุบันพลาสติก (plastic) มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เครื่องมือเครื่องใช้และวัสดุก่อสร้างหลายชนิดทำด้วยพลาสติก เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือนจำพวกจานชาม ขวดโหลต่าง ๆ ของเล่นเด็ก วัสดุก่อสร้าง สีทาบ้าน กาวติดไม้และติดโลหะ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นต้น เหตุที่พลาสติกเป็นที่นิยมเพราะมีราคาถูก มีน้ำหนักเบา ทนความชื้นได้ดี ไม่เป็นสนิม ทำให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ตามต้องการได้ง่ายกว่าโลหะ เป็นฉนวนไฟฟ้า มีทั้งชนิดโปร่งใสและมีสีต่าง ๆ กัน ด้วยเหตุนี้พลาสติกจึงใช้แทนโลหะหรือวัสดุบางชนิด เช่น แก้ว ได้เป็นอย่างดี แต่พลาสติกก็มีข้อเสียหลายอย่างด้วยกันคือ ไม่แข็งแรง (รับแรงดึง แรงบิดและแรงเฉือนได้ต่ำมาก) ไม่ทนความร้อน (มีจุดหลอมเหลวต่ำ ติดไฟง่าย และไม่คงรูป จึงทำให้ขอบเขตการใช้งานของพลาสติกยังไม่กว้างเท่าที่ควร
  พลาสติกประกอบไปด้วยโมเลกุลของธาตุหลาย ๆ ธาตุจับกันเป็นโมเลกุลใหญ่ที่เรียกว่า พอลีเมอร์ ลักษณะที่เด่นชัดของพลาสติกอยู่ตรงที่โมเลกุลของพลาสติกมีขนาดใหญ่โตกว่าสารอื่น ๆ มาก
พลาสติกที่ใช้ส่วนใหญ่ได้จากปฏิกิริยาสังเคราะห์ทางเคมี ส่วนพลาสติกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและใช้มากคือ เชลแล็ก (shellac) พลาสติกเป็นสารประกอบอินทรีย์ (สารอินทรีย์หมายถึงสารซึ่งในโมเลกุลมีธาตุไฮโดรเจน และคาร์บอนรวมกันอยู่ อาจมีเพียงอะตอมของธาตุทั้งสองหรือมีอะตอมของธาตุอื่นรวมอยู่ด้วย เช่น มีเทน CH4 เป็นสารอินทรีย์ที่มีแต่อะตอมของไฮโดรเจน และคาร์บอน กรดน้ำส้ม CH3COOH มีอะตอมของไฮโดรเจน คาร์บอน และออกซิเจนรวมอยู่ด้วย เป็นต้น)
   เราสามารถแบ่งพลาสติกออกได้เป็น ๒ พวกใหญ่ ๆ คือ

1. เทอร์มอเซตติงพลาสติก (thermosetting plastic) เป็นพลาสติกชนิดที่จะแข็งตัวคงรูปอยู่ได้ โดยอาศัยปฏิกิริยาทางเคมี ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นโดยอาศัยความร้อนและความกดดัน ภายหลังปฏิกิริยาเคมีมันก็จะแข็งตัว และเราจะไม่สามารถเปลี่ยนรูปของมันโดยไม่เปลี่ยนคุณสมบัติของมันได้กล่าวคือ เมื่อได้รับความร้อนมาก ๆ มันจะสลายตัวเสียรูปไป
2. เทอร์มอพลาสติกพลาสติก (thermoplastic plastic) เป็นพลาสติกที่แข็งตัวโดยไม่อาศัยปฏิกิริยาทางเคมี แต่อาศัยคุณสมบัติทางกายภาพ เมื่อทำพลาสติกชนิดนี้ให้ร้อนขึ้นแล้วเทลงในเบ้าหรือแบบมันก็จะเปลี่ยนรูปร่างไปตามแบบนั้น และเมื่อเย็นลงก็จะแข็งตัวคงรูปอยู่ได้ และเมื่อเป็นรูปแล้วเราสามารถที่จะหลอมและเปลี่ยนรูปเป็นอย่างอื่นได้อีก เพราะคุณสมบัติทางเคมีของมันยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงการแยกชนิดของพลาสติก       พลาสติกแต่ละชนิดมีจุดหลอมเหลวและความหนาแน่นต่างกัน จึงมีการใช้สัญลักษณ์เพื่อช่วยในการเลือกพลาสติกชนิดต่างๆ และช่วยในการแยกพลาสติกในกระบวนการรีไซเคิล ซึ่งเราสามารถแยกชนิดของพลาสติกออกเป็น 7 กลุ่มดังนี้
 
  พลาสติกกลุ่มที่ 1 คือ เพท (PETE) สัญลักษณ์คือ 1 เป็นพลาสติกที่ส่วนใหญ่มีความใส มองทะลุได้ มีความแข็งแรงทนทานและเหนียว ป้องกันการผ่านของก๊าซได้ดี มีจุดหลอมเหลว 250-260 องศาเซลเซียส มีความหนาแน่น 1.38-1.39 นิยมนำมาใช้ทำบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เช่น ขวดน้ำดื่ม ขวดน้ำปลา ขวดน้ำมันพืช เป็นต้น
  พลาสติกกลุ่มที่ 2 คือ HDPE สัญลักษณ์คือ 2 เป็นพลาสติกที่มีความหนาแน่นสูง ค่อนข้างนิ่ม มีความเหนียวไม่แตกง่าย มีจุดหลอมเหลว 130 องศาเซลเซียส มีความหนาแน่น 0.95-0.92 นิยมนำมาใช้ทำบรรจุภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น แชมพู ถุงร้อนชนิดขุ่น ขวดนม เป็นต้น
  พลาสติกกลุ่มที่ 3 คือ พีวีซี (PVC) สัญลักษณ์คือ 3 เป็นพลาสติกที่มีลักษณะทั้งแข็งและนิ่ม  สามารถผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายรูปแบบ มีสีสันสวยงาม มีจุดหลอมเหลว 75-90 องศาเซลเซียส เป็นพลาสติกที่นิยมใช้มาก เช่น ท่อพีวีซี สายยาง แผ่นฟิล์มห่ออาหาร เป็นต้น
  พลาสติกกลุ่มที่ 4 คือ LDPE สัญลักษณ์คือ 4 เป็นพลาสติกที่มีความหนาแน่นต่ำ มีความนิ่มกว่า HDPE มีความเหนียว ยืดตัวได้ในระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่ใสมองเห็นได้ จุดหลอมเหลว 110 องศาเซลเซียส มีความหนาแน่น 0.92-0.94  นิยมนำมาใช้ทำแผ่นฟิล์ม ห่ออาหารและห่อของ
  พลาสติกกลุ่มที่ 5 คือ pp สัญลักษณ์คือ 5 เป็นพลาสติกที่ส่วนใหญ่มีความหนาแน่นค่อนข้างต่ำ มีความแข็งและเหนียว คงรูปดี ทนต่อความร้อน และสารเคมี มีจุดหลอมเหลว 160-170 องศาเซลเซียส ความหนาน่น 0.90-0.91 นิยมนำมาใช้ทำบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารในครัวเรือน เช่น ถุงร้อนชนิดใส จาม ชาม อุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิด
  พลาสติกกลุ่มที่ 6 คือ PS สัญลักษณ์คือ 6  เป็นพลาสติกที่มีความใส แข็งแต่เปราะแตกง่าย  สามารถทำเป็นโฟมได้ มีจุดหลอมเหลว 70-115 องศาเซลเซียส ความหนาแน่น 0.90-0.91  นิยมนำมาใช้ทำบรรจุภัณฑ์ เช่น กล่องไอศกรีม กล่องโฟม ฯลฯ
  พลาสติกกลุ่มที่ 7 คือ อื่นๆ เป็นพลาสติกที่นอกเหนือจากพลาสติกทั้ง 6 กลุ่ม พบมากมายหลากหลายรูปแบบ
 
การรีไซเคิล (Recycle)
การแปรรูปของใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ หรือกระบวนการที่เรียกว่า "รีไซเคิล" คือ การนำเอาของเสียที่ผ่านการใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ที่อาจเหมือนเดิม หรือไม่เหมือนเดิมก็ได้
ของใช้แล้วจากภาคอุตสาหกรรม นำกลับมาใช้ใหม่ ได้แก่ กระดาษ แก้ว กระจก อะลูมิเนียม และพลาสติก "การรีไซเคิล" เป็นหนึ่งในวิธีการลดขยะ ลดมลพิษให้กับสภาพแวดล้อม ลดการใช้พลังงานและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกไม่ให้ถูกนำมาใช้สิ้นเปลืองมากเกินไป
การแปรรูปของใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่มีกระบวนการอยู่ 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. การเก็บรวบรวม
2. การแยกประเภทวัสดุแต่ละชนิดออกจากกัน
3. การผลิตหรือปรับปรุง
4. การนำมาใช้ประโยชน์ในขั้นตอนการผลิตหรือปรับปรุงนั้น วัสดุที่แตกต่างชนิดกัน จะมีกรรมวิธีในการผลิต แตกต่างกัน เช่น ขวด แก้วที่ต่างสี พลาสติกที่ต่างชนิด หรือกระดาษที่เนื้อกระดาษ และสีที่แตกต่างกัน ต้องแยกประเภทออกจากกัน
 
ยางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์ยางเป็นวัสดุที่มีประโยชน์มากอีกอย่างหนึ่ง ยางธรรมชาติได้มาจากการกรีดผิวของต้นยางพารา (hevea brasiliensis) ซึ่งมักจะเจริญงอกงามอยู่ตามบริเวณใกล้เขตเส้นศูนย์สูตร ในที่ซึ่งมีอากาศร้อน ฝนตกชุก และดินดี
ยางธรรมชาติ (latex)ยางธรรมชาติ มีชื่อทางเคมีว่า พอลีไอโซปรีน ประกอบด้วยไอโซปรีน จำนวน 1500 - 150000 หน่วย ลักษณะโครงสร้างของโมเลกุลจะขดม้วนเป็นวงและบิดเป็นเกลียว มีรูปร่างไม่แน่นอน แรงดึงดูดระหว่างโซ่สูง จึงมีความยืดหยุ่น และต้านทานต่อแรงดึงมาก 
ยางสด  ที่กรีดได้จากผิวของต้นยางพารานั้นมีลักษณะข้นขาว เมื่อสะสมยางสดไว้แล้วก็ชั่งหาน้ำหนัก แล้วให้ยางสดผ่านตะแกรงเพื่อแยกเอาเศษผงหรือสิ่งสกปรกออก จากนั้นก็เทลงถังใหญ่แล้วผสมกับกรดอะเซติก (acetic acid) หรือกรดฟอร์มิก (formic acid) อย่างอ่อนเพื่อทำให้ยางสดจับตัวเป็นก้อน จากนั้นนำไปรีดให้เป็นแผ่นบาง ๆ ด้วยลูกกลิ้ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการกำจัดน้ำและน้ำกรดที่จะยังหลงเหลืออยู่ออกด้วย แผ่นยางนี้จะถูกนำไปรมควัน และผึ่งแห้งประมาณ ๔-๕ วัน ที่อุณหภูมิ ๔๐-๕๐ องศาเซลเซียส โดยใช้ควันจากไม้สด ๆ ควันนี้จะทำให้แผ่นยางกลายเป็นสีน้ำตาล ในขณะเดียวกันควันก็ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดราบนแผ่นยางได้ ยางที่ได้นี้เรียกว่า ยางดิบ (crepe rubber) หรือยางแผ่นรมควัน ซึ่งจะถูกส่งไปสู่ผู้ผลิตสินค้าประเภทยางต่อไป ยางดิบอาจใช้ทำประโยชน์ เช่น ทำพื้นรองเท้าหรือถุงมือยางได้ แต่ส่วนมากไม่นิยมใช้ยางดิบทำ เพราะยางดิบไม่คงคุณภาพที่อุณหภูมิสูงและอุณหภูมิต่ำ
ยางดิบ ยางดิบมักจะเยิ้มเป็นยางเหนียวในฤดูร้อน และแข็งเปราะหักง่ายในฤดูหนาวเมื่ออุณหภูมิลดลง จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๓๘๒ นักประดิษฐ์ผู้หนึ่งชื่อ ชาลส์ กูดเยียร์ (Charles Goodyear, ค.ศ. ๑๘๐๐-๑๘๖๐ ชาวอเมริกัน) ผู้ซึ่งได้พยายามคิดค้นหาวิธีแก้ปัญหานี้อยู่ บังเอิญทำก้อนยางที่ผสมกับกำมะถันตกลงไปในเตาขณะที่ทำการทดลองอยู่ ผลปรากฏว่ายางก้อนนั้นเปลี่ยนคุณสมบัติเป็นยางที่ดี ไม่อ่อนเสียรูปเวลาร้อนและไม่เปราะหักง่ายเวลาเย็น วิธีการเปลี่ยนยางดิบให้มีคุณสมบัติดีขึ้นโดยผสมกับกำมะถันนี้ คือวิธีวัลคาไนเซชัน (vulcanization มาจากคำว่า vulcan ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งไฟของชาวโรมันโบราณ) ยางที่ได้รับการอบแบบวัลคาไนเซชันแล้วนี้จะยังคงความยืดหยุ่นได้ดีอยู่เสมอ 
  ยางสังเคราะห์ ความจำเป็นในการใช้ยางในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้นักวิทยาศาสตร์ของหลายประเทศต้องคิดค้นหายางเทียม (synthetic rubber) ขึ้นใช้แทนยางธรรมชาติ ประเทศเยอรมันถูกตัดขาดจากแหล่งยางธรรมชาติ เนื่องจากการล้อมของฝ่ายสัมพันธมิตรจึงต้องดิ้นรนขวนขวายค้นคว้าประดิษฐ์ยางเทียมขึ้น แต่ได้ยางเทียมที่ใช้ได้ไม่สู้ดีนัก ต่อมาใน พ.ศ. 2482 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเยอรมันก็ประสบปัญหาขาดแคลนยางธรรมชาติอีกจึงได้คิดค้นทำยางเทียมที่มีคุณภาพดีได้ 2 ชนิด คือ 1. บูนาเอส (buna S) ทำมาจากก๊าซบิวตะไดอีน  (butadiene) และสไตรีน (styrene) ซึ่งเป็นของเหลวสกัดมาจากน้ำมันปิโตรเลียม เรียกว่ายาง SBR  :  Styrenr - Butadiene Rubber2. บูนาเอ็น (buna N) ทำมาจากบูทาเดียนและอะไครโลนีไทรด์ (acrylonitride) ซึ่งเป็นของเหลวที่ได้มาจากก๊าซอะเซทิลีน (acetylene) และกรดไฮโดรไซยานิก (hydrocyanic acid)
    
ต่อมาใน พ.ศ. 2485 กองทัพญี่ปุ่นได้ยึดเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกยางพาราไว้ได้ ทำให้ยางธรรมชาติที่จะถูกส่งไปสหรัฐอเมริกาถูกตัดขาดลง จึงได้มีการผลิตยางเทียมกันเป็นการใหญ่จนปัจจุบันนี้ สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำแนวหน้าของโลกในฐานะผู้ผลิตยางเทียม